
รีวิวหนัง “Aftersun” ทริปพักร้อนพ่อลูก บาดลึกความสัมพันธ์ที่เต็มด้วยรอยร้าว
Aftersun ทริปพักร้อนพ่อลูก อาจจะจะต้องบอกตรง ๆ ว่านี่เป็นหนังที่ ภายหลังจากดูจบลงไปแล้ว จะต้องทำการตกผลึก และขบคิดไปครู่ใหญ่ นี่คือหนังจาก อังกฤษที่เปิดตัว ด้วยเสียงฮือฮา ในเทศกาลหนังเมืองคานส์
และถือได้ว่าเป็นหนึ่งใน ตัวเต็งรางวัลออสการ์ สาขาบทหนังในปีนี้ นี่คือ “Aftersun” หนังดราม่า ครอบครัวสไตล์โฮมวิดีโอ ที่ซ่อนไปด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ที่บาดซึมลึกแบบเกือบจะกัดกินใจ และกลืนผู้ชมไปตลอดตัวเลยทีเดียว
Aftersun คือเรื่องราว การนึกถึงช่วงเวลา ที่ความสุขวันวาน
ของโซฟีกับพ่อของเธอ ที่พวกเขาสองพ่อลูกเคยออกทริป ไปพักร้อนที่เมืองชายทะเล ของตุรกี เมื่อสัก 20 ปีก่อน โดยความจำเหล่านั้นได้ ถูกบันทึกไว้ภายในกล้อง แฮนดี้แคมของพ่อ ที่เปิดเผยให้เห็น ความจำ จินตนการ และระยะเวลาแห่งอารมณ์ ที่หลากหลายที่เกิดขึ้น ที่ทำให้เธอจะต้อง เจอหน้ากับความสัมพันธ์ กับพ่อที่เธอรู้จัก กับผู้ชายที่เธอ ก็ไม่คุ้นเคยในบางวัน
นี่คือผลงาน การกำกับหนังยาว เรื่องราวของ “ชาร์ล็อต เวลส์” สาวนักสร้างภาพยนตร์ ชาวอังกฤษรุ่นใหม่ ที่กำลังเป็นที่ จับตามอง โดยเธอรับหน้าที่ ทั้งกำกับและเขียนบท ด้วยตัวเอง นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่
Aftersun เป็นหนังที่มี ความเป็นส่วนตัวในแบบฉบับ ของเธออย่างเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็น การร้อยเรียงเรื่องราว การลำดับเรื่อง และการดีไซน์มุมมอง ภาพต่าง ๆ ที่ออกมาเป็นแบบ หนังเรื่องราว ทุกอย่างออกจะเสนอ ออกมาในแบบเฉพาะ
แม้ว่าจะต้อง ยอมรับตรง ๆ เลยว่า Aftersun อาจจะไม่ใช่หนัง ที่เหมาะสมกับทุกคน เพราะเหตุว่าตัวหนังนั้น ก็มีความเจาะจง และเป็นตัวของตัวเอง ออกจะสูง
การนำเสนอบางทีก็อาจจะไม่ใช่ หนังที่ดูง่าย สักเท่าไหร่นัก กับจังหวะหนัง ที่ยังจะต้อง ใช้กระบวนการ ขบคิดตามอยู่เรื่อย ๆ ตามไทม์ไลน์ของหนัง ที่หากว่าผู้ชม ได้ติดตามเรื่องราว ให้ดีนั้น ก็อาจจะหลงทาง ได้เหมือนกัน
หากถามบทหนัง Aftersun ดีเยี่ยมถึงขนาด ล่ารางวัลได้ไหม ก็อาจจะต้องว่า..ก็ได้ เพราะเหตุว่าบทหนัง เรื่องนี้เต็มไป ด้วยความซับซ้อนและแนวความคิด เชิงซ้อนที่ทับถมกันเรื่อย ๆ ในชั้นบรรยากาศ ของหนังเอง ผิวเผินบทอาจจะดูไม่มีอะไร
และทำการสื่อสาร กับผู้ชมได้ออกจะยาก กับไปไม่ถึงตัวผู้ชมสักเท่าไหร่ แต่หาก มาไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งดี ๆ แล้วจะพบว่า บทหนังเรื่องนี้ แฝงเอาไว้ ด้วยส่วนประกอบ ปลีกย่อยมากมาย เอาไว้ให้ผู้ชม ได้กลับไปคิด ทบทวนกันต่อ
มั่นใจว่าหลายคน ที่ดูหนัง Aftersun เรื่องนี้จบลงแล้ว น่าจะมีเรื่องที่น่าสงสัย อยู่ในหัวมากมาย เพราะเหตุว่าการ เล่าเรื่องของหนังอาจจะ ไม่ได้มีการเกริ่นใด ๆ ออกมาอย่างชัดเจน
ไม่ได้ถ่ายทอดให้เห็นว่า อะไรคือผลเหตุ ของพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นที่เกิดขึ้นกับ ตัวละครของพ่อ ไม่ได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างพ่อลูกคู่นี้ แต่นั่น ก็เป็นอีกหนึ่ง เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ นั่นเอง
ในเมื่อหนัง มาในแนวทางนี้ ก็จะต้องพึ่งพา การแสดงที่มั่นคง
มาช่วยเอาไว้ และ “พอล เมสคัล” เป็นเพชรเม็ดงาม จากอังกฤษ ที่เขาได้เจิดจรัส กับการแสดงอีกรอบ เขาพึ่งแจ้งเกิดมาจาก The Lost Daughter เมื่อปีก่อน ก่อนหน้านี้ก็พึ่งมี God’s Creatures ที่ได้รับคำชม เหมือนกัน
มาในเรื่องนี้ เขาก็มอบการแสดง ที่เต็มไปด้วยมิติและน่าค้นหา อย่างดีเยี่ยม แถมบทที่ เขาได้รับจัดว่า ออกจะเกินวัย ของตัวเขาเองอยู่ เขาคือส่วนประกอบที่โดดเด่น ที่ดีไซน์บทบาทนี้ ออกมาได้ อย่างจับจิตจับใจ
ในตอนที่ผลงาน การแสดงเรื่องแรกของ “แฟรงกี้ โคริโอ” ที่จะต้องตบมือ ให้จริง ๆ นี่คือนักแสดงเด็ก ดาวรุ่งที่พึ่งเปิดตัว แจ้งเกิดมา จากหนังเรื่องนี้เรื่องแรก แต่เธอก็สามารถ ถ่ายทอดบทบาทออกมา ได้อย่างธรรมชาติและแทรกซึม เข้าไปถึงบท ได้อย่างน่าอัศจรรย์
ทั้งเสน่ห์และการแสดง ที่น้อยแต่มาก ยิ่งทำให้เด็กสาวคนนี้ มีออร่าฉายแสงขึ้น มาบนจอ และเป็นองค์ประกอบ ที่ส่งเสริมลงตัว ได้อย่างยอดเยี่ยมในหนังเรื่องนี้ ในภาพรวม
ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่า ราวกับพาผู้ชม มาย้อนดูความทรงจำ ที่ทั้งสุขทั้งทุกข์ของพ่อลูกคู่หนึ่ง ที่ค่อย ๆ ไต่ระดับอารมณ์และความสัมพันธ์ ในช่วงเวลาแห่ง การท่องเที่ยวในช่วงปิดเทอม ที่ได้เผยมุมมองต่าง ๆ ของแต่ละฝ่าย
จากโครงการครอบครัว ที่แหลกสลายลงไปแล้ว ความไร้เดียงสาของเด็กสาว ที่กำลังเติบใหญ่เป็นสู่วัยรุ่น มาพบกับชายหนุ่ม ที่ย่างเข้าสู่วัยกลางคน ที่เผชิญหน้ากับ ห้วงชีวิตที่แสนซับซ้อน เป็นความคอนทราส ที่ถูกนำมาผสมเข้ากัน ในเรื่องนี้
เป็นหนึ่งในโปรแกรม ฉายในเทศกาล หนังนานาชาติกรุงเทพฯ ครั้งที่ 15 ที่กำลังจัดขึ้น ในเวลานี้ แต่หนังก็จะเข้าฉาย รอบปกติในช่วงหลัง จากเทศกาลปีใหม่นี้ ถึงหนังจะไม่ใช่ หนังที่เหมาะสมกับทุกคนดูก็ตาม
แต่อย่างน้อย ๆ ข้อความของหนังเรื่องนี้ ที่พยายามสื่อสาร ออกมานั้น ก็ออกจะทรงพลัง ระหว่างสายใยพ่อลูก เป็นความทรงจำ วันวานของครอบครัว ถวิลหาแห่งกลิ่นของยุค 90s เบา ๆ เป็นหนังดี ที่อาจจะเข้าถึงยาก สักนิดสักหน่อย แต่ทิ้งไว้ด้วยความลึกซึ้ง ที่อบอวลทั่วหนัง